เครื่องยนต์ 4 จังหวะมีเสียงดัง เกิดจากอะไร
- แม้จะเกิดจากเครื่องหลวม . แต่ก็ยังพอมีวิธีแก้ไข ไม่ให้เกิดเสียงดัง หรือทำให้เสียงที่ดังอยู่นี้ ลดลงไปได้เหมือนกัน . ซึ่งจะขอตอบ จากวิธีการซ่อม . จากง่าย . ไปหายาก ได้ดังนี้
1 ) . ใช้กรองน้ำมันเครื่อง " ของแท้ " . . เพราะของเทียม อาจจะไม่มีวาว(ลิ้น) กักน้ำมันอยู่ภายใน(เพื่อทำให้น้ำมันไหลไปได้ทางเดียว) . . เมื่อจอดรถนานๆ จะให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงไปข้างล่างจนหมด(ไหลลงไปอยู่ที่อ่าง นมค.) . . เมื่อสตาร์ทเครื่องในครั้งแรก(ตอนเช้า) . จึงไม่มี นมค.รออยู่ เพื่อทำการหล่อลื่น . จึงต้องสูบ นมค.ขึ้นมาจากก้นอ่างใหม่ทั้งหมดเลย . ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลา ประมาณ 3 - 10 วินาที
- แต่ถ้าใช้กรองนมค.ของแท้ แล้ว . เสียงดังในส่วนนี้ จะลดลงไปได้ . คงเหลือประมาณ 2 - 3 วินาที ครับ . . ต่อจากนั้น ก็จะไม่ดัง . . เปลี่ยนได้ง่าย และ ราคาถูกที่สุด ใครๆก็สามารถทำได้
2 ) . ปรับตั้งระยะห่างของลิ้น(วาว)เสียใหม่(ตั้งลิ้นใหม่) . เสียงของลิ้นนี้ . จะดังอยู่(ทางด้านบนของเครื่องยนต์)ตลอดไป . ตอนสตาร์ทเครื่องใหม่ๆ ก็จะดังมากหน่อย . เมื่อเครื่องร้อนแล้ว . เสียงก็จะลดลงไปได้บ้างเล็กน้อย . . ตั้งใหม่แล้ว จะหายดังไปเลย(แล้วแต่ฝีมือ) . . ทำได้ไม่ยาก ราคาประมาณ 200 - ไม่น่าจะเกิน 500 บาท . . แต่ถ้าใช้แบบเปลี่ยนชิม ก็จะแพงกว่านี้
3 ) . เกิดเสียงดังมาจาก " โซ่ราวลิ้น " . . ถ้าเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ โซ่ราวลิ้น . อาจเกิดเสียงดังมาจาก โซ่ราวลิ้น เสียดสี และ สะบัดไป******กับแผ่นดันโซ่ ก็เป็นไปได้ ( สึกหรอไปตามอายุการใช้งาน - อย่างไม่ถูกวิธี - เพราะไม่ได้อุ่นเครื่องก่อนการใช้งาน) . . สามารถทดสอบได้ ด้วยการเร่งเครื่อง แล้วปล่อยคันเร่งในทันที จะมีเสียงดัง กราว เป็นจังหวะ จังหวะ . อยู่ทางด้านหน้าเครื่องยนต์
- แก้ไขได้ . ด้วยการ เปลี่ยนโซ่ราวลิ้น + เฟืองโซ่ฯ + แผ่นดันโซ่ฯ . เสียใหม่ ทำแล้วจะหายดังไปเลย
4 ) . เสียงดังมาจาก " เพลาราวลิ้น " ( บูชหลวม ) . . เมื่อสตาร์ทเครื่องในตอนแรก เสียงจะดังมากหน่อย . . เมื่อมี นมค. ขึ้นไปหล่อลื่นแล้ว . เสียงจะลดลง แต่ก็จะไม่หายดัง( เสียงอยู่ทางด้านบน ของเครื่องยนต์) . . อาการนี้ เกิดขึ้นได้น้อย(ไม่ค่อยจะเกิด) . . เสียงที่ดังนี้ มักจะดังเป็นจังหวะๆ ตามการเร่ง และ ปล่อยคันเร่ง(ทดสอบดูได้)
- ในกรณีย์นี้ . . จะต้องเปิด " ฝาสูบ " ออกมา . . แล้วนำส่งไป โรงกลึง - เพื่อทำบูชเพลาราวลิ้นเสียใหม่(เปลี่ยนบูช) . . ทำแล้ว จะหายดังไปเลย
- หากเป็นเสียง ที่เกิดจากการเสียดสี ของสายพาน . ซึ่งฟังดูก็รู้แล้ว . มักเกิดจากความชื้น
- ให้ใช้ก้อนสบู่แห้งๆ(ดีที่สุด) หรือชื้นเล็กน้อย ( สบู่เหลว / แชมภูสระผม / น้ำยาล้างจาน - ก็ใช้ได้ ) . นำมา ทาถู ทาถู ที่สายพาน เฉพาะในบริเวณที่สายพานสัมผัสกับรอก-ที่เป็นโลหะ . ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ . . ถ้าทำแล้วยังไม่หาย ก็ดับเครื่อง แล้วนำสบู่ หรือแชมภู มาถูใหม่ . ทำหลายๆครั้ง จนกว่าจะหายดัง
- ไม่ควรใช้น้ำมันใดๆทั้งสิ้น เพราะอาจทำให้อายุของสายพานสั้นลงได้
- หากสายพาน . ยังไม่มีรอยปริ . หรือรอยแตก . และไม่ได้ขับซิ่ง . ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ครับ
- การใช้รถที่เหมาะสมนั้น . . ในตอนเช้าเมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว . ควรอุ่นเครื่องอยู่ประมาณ 2 - 3 นาที . เพื่อให้ >> นมค.ขึ้นไปหล่อลื่น . อุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้น . โลหะขยายตัว . การสึกหรอจะลดลง ครับ
- การสึกหรอของเครื่องยนต์ . . จะสึกหรอมากที่สุด ในขณะที่สตาร์ทเครื่องในตอนเช้าครับ . . เพราะการหล่อลื่น ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร . จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง มีการอุ่นเครื่องก่อนการใช้งานด้วย ทุกครั้ง . ไม่ใช่ว่า สตาร์ทเครื่องติด ก็ออกรถเลย . . ดูให้เข็มความร้อน ขึ้นพ้นขีดต่ำสุดเสียก่อน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ( ประมาณ 1 - 2 นาที )
- การขับรถ จึงไม่ควรเร่งเครื่องอย่างรุนแรง . . ควรขับ แบบที่มักจะเรียกกันว่า " ตีนสำลี " น่ะครับ . . แบบนี้ จะกินน้ำมันน้อยที่สุด รวมทั้งการสึกหรอ ก็จะต่ำที่สุดด้วย นะครับ
1 ) . ใช้กรองน้ำมันเครื่อง " ของแท้ " . . เพราะของเทียม อาจจะไม่มีวาว(ลิ้น) กักน้ำมันอยู่ภายใน(เพื่อทำให้น้ำมันไหลไปได้ทางเดียว) . . เมื่อจอดรถนานๆ จะให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงไปข้างล่างจนหมด(ไหลลงไปอยู่ที่อ่าง นมค.) . . เมื่อสตาร์ทเครื่องในครั้งแรก(ตอนเช้า) . จึงไม่มี นมค.รออยู่ เพื่อทำการหล่อลื่น . จึงต้องสูบ นมค.ขึ้นมาจากก้นอ่างใหม่ทั้งหมดเลย . ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลา ประมาณ 3 - 10 วินาที
- แต่ถ้าใช้กรองนมค.ของแท้ แล้ว . เสียงดังในส่วนนี้ จะลดลงไปได้ . คงเหลือประมาณ 2 - 3 วินาที ครับ . . ต่อจากนั้น ก็จะไม่ดัง . . เปลี่ยนได้ง่าย และ ราคาถูกที่สุด ใครๆก็สามารถทำได้
2 ) . ปรับตั้งระยะห่างของลิ้น(วาว)เสียใหม่(ตั้งลิ้นใหม่) . เสียงของลิ้นนี้ . จะดังอยู่(ทางด้านบนของเครื่องยนต์)ตลอดไป . ตอนสตาร์ทเครื่องใหม่ๆ ก็จะดังมากหน่อย . เมื่อเครื่องร้อนแล้ว . เสียงก็จะลดลงไปได้บ้างเล็กน้อย . . ตั้งใหม่แล้ว จะหายดังไปเลย(แล้วแต่ฝีมือ) . . ทำได้ไม่ยาก ราคาประมาณ 200 - ไม่น่าจะเกิน 500 บาท . . แต่ถ้าใช้แบบเปลี่ยนชิม ก็จะแพงกว่านี้
3 ) . เกิดเสียงดังมาจาก " โซ่ราวลิ้น " . . ถ้าเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ โซ่ราวลิ้น . อาจเกิดเสียงดังมาจาก โซ่ราวลิ้น เสียดสี และ สะบัดไป******กับแผ่นดันโซ่ ก็เป็นไปได้ ( สึกหรอไปตามอายุการใช้งาน - อย่างไม่ถูกวิธี - เพราะไม่ได้อุ่นเครื่องก่อนการใช้งาน) . . สามารถทดสอบได้ ด้วยการเร่งเครื่อง แล้วปล่อยคันเร่งในทันที จะมีเสียงดัง กราว เป็นจังหวะ จังหวะ . อยู่ทางด้านหน้าเครื่องยนต์
- แก้ไขได้ . ด้วยการ เปลี่ยนโซ่ราวลิ้น + เฟืองโซ่ฯ + แผ่นดันโซ่ฯ . เสียใหม่ ทำแล้วจะหายดังไปเลย
4 ) . เสียงดังมาจาก " เพลาราวลิ้น " ( บูชหลวม ) . . เมื่อสตาร์ทเครื่องในตอนแรก เสียงจะดังมากหน่อย . . เมื่อมี นมค. ขึ้นไปหล่อลื่นแล้ว . เสียงจะลดลง แต่ก็จะไม่หายดัง( เสียงอยู่ทางด้านบน ของเครื่องยนต์) . . อาการนี้ เกิดขึ้นได้น้อย(ไม่ค่อยจะเกิด) . . เสียงที่ดังนี้ มักจะดังเป็นจังหวะๆ ตามการเร่ง และ ปล่อยคันเร่ง(ทดสอบดูได้)
- ในกรณีย์นี้ . . จะต้องเปิด " ฝาสูบ " ออกมา . . แล้วนำส่งไป โรงกลึง - เพื่อทำบูชเพลาราวลิ้นเสียใหม่(เปลี่ยนบูช) . . ทำแล้ว จะหายดังไปเลย
- หากเป็นเสียง ที่เกิดจากการเสียดสี ของสายพาน . ซึ่งฟังดูก็รู้แล้ว . มักเกิดจากความชื้น
- ให้ใช้ก้อนสบู่แห้งๆ(ดีที่สุด) หรือชื้นเล็กน้อย ( สบู่เหลว / แชมภูสระผม / น้ำยาล้างจาน - ก็ใช้ได้ ) . นำมา ทาถู ทาถู ที่สายพาน เฉพาะในบริเวณที่สายพานสัมผัสกับรอก-ที่เป็นโลหะ . ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ . . ถ้าทำแล้วยังไม่หาย ก็ดับเครื่อง แล้วนำสบู่ หรือแชมภู มาถูใหม่ . ทำหลายๆครั้ง จนกว่าจะหายดัง
- ไม่ควรใช้น้ำมันใดๆทั้งสิ้น เพราะอาจทำให้อายุของสายพานสั้นลงได้
- หากสายพาน . ยังไม่มีรอยปริ . หรือรอยแตก . และไม่ได้ขับซิ่ง . ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ครับ
- การใช้รถที่เหมาะสมนั้น . . ในตอนเช้าเมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว . ควรอุ่นเครื่องอยู่ประมาณ 2 - 3 นาที . เพื่อให้ >> นมค.ขึ้นไปหล่อลื่น . อุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้น . โลหะขยายตัว . การสึกหรอจะลดลง ครับ
- การสึกหรอของเครื่องยนต์ . . จะสึกหรอมากที่สุด ในขณะที่สตาร์ทเครื่องในตอนเช้าครับ . . เพราะการหล่อลื่น ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร . จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง มีการอุ่นเครื่องก่อนการใช้งานด้วย ทุกครั้ง . ไม่ใช่ว่า สตาร์ทเครื่องติด ก็ออกรถเลย . . ดูให้เข็มความร้อน ขึ้นพ้นขีดต่ำสุดเสียก่อน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ( ประมาณ 1 - 2 นาที )
- การขับรถ จึงไม่ควรเร่งเครื่องอย่างรุนแรง . . ควรขับ แบบที่มักจะเรียกกันว่า " ตีนสำลี " น่ะครับ . . แบบนี้ จะกินน้ำมันน้อยที่สุด รวมทั้งการสึกหรอ ก็จะต่ำที่สุดด้วย นะครับ
· เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก
- เครื่องไม่มีกำลังอัด บางที ลิ้นวาล์วไม่สนิทหรือเคลื่อน / บู๊ธวาล์วสึก / แหวนสึก หรือลูกสูบหลวม
- ไฟไม่ออกหัวเทียน หัวเทียนอาจจะเปียกแฉะ สกปรก / ทองขาวสกปรกหรือระยะห่างไม่ถูกต้อง / จังหวะจุดระเบิดเคลื่อนหรือไม่ตรง / คอยส์หัวเทียนเสื่อม / คอนเดนเซอร์เสื่อมหรือลงกราวน์ / ไฟรั่วลงกราวน์ตามสายในตัวรถหรือแบตเตอรี่ / ฟิวส์ขาด
-น้ำมันไม่ลง ก็อกน้ำมันตัน /คาร์บูตัน หรือ สกปรก
·เครื่องดับในขณะรถวิ่ง
-หัวเทียนสกปรก อาจจะเผาไหม้ ไม่หมด เนื่องจากเข็มคาร์บู หรือ จูนอากาศไม่ดี
-คอยส์หัวเทียนเริ่มเสื่อม
-ตั้งคาร์บู อ่อนมากไป
-ตั้งทองขาวไม่ได้จังหวะ หรือ กาวนา สึก จังหวะไฟจึงเคลื่อน
-น้ำมันลงไม่ทัน
·เครื่องยนต์มีเสียงดัง
-เสียงดังจากแกนราวลิ้น ที่สึก / ตั้งวาล์วห่างเกินไป / สปริงวาล์วอ่อน หรือหัก
-เสียงดังจากโซ่ราวลิ้น หย่อน / เฟืองราวลิ้นสึก / ยางกลิ้ง,ยางกด สึก
-เสียงดังจากกระบอกสูบ อาจจะเกิดจากเสียงจากลูกสูบชนฝาเบาๆ / ฝาสูบ มีเขม่าเยอะ / สลักสูบหลวม /ตั้งไฟแก่ไป
-เสียงจากคลัทช์ บางที น็อตล็อคคลัทช์อาจจะคลายไม่แน่น / จานคลัทช์ กับ เฟืองคลัทช์ สึก / จานคลัทช์หรือ แผ่นคลัทช์ สึก ไม่เรียบ
-เสียงจากเพลาข้อเหวี่ยง ตับเป็ด / ลูกปืนก้านสูบหรือ ก้านสูบอาจจะสึกมาก / ลูกปืนข้อเหวี่ยง สึก / เพลาข้องเหวี่ยง วางไม่ได้ศูนย์
-เสียงเกียร์ดัง เฟืองเกียร์ อาจจะสึกมากหรือ เฟืองหัก
-บิ่น / เพลาเฟืองเกียร์สึกมาก
·เข้าเกียร์ไม่ได้
-ดุมเปลี่ยนเกียร์อาจจะสึก / ลูกเบี้ยวเกียร์เสีย / ก้ามปูเกียร์ หัก หรือ ลิ้นสปรืงก้ามปู หัก
·เกียร์หลุดหรือ เกียร์กระโดด
-เฟืองเกียร์ต่างๆสึกมาก /สปริงบังคับเกียร์ดุมเกียร์อ่อน / ก้ามปูสึกหรือเบี้ยว
·ควันออกท่อ เยอะมาก
-ใส่น้ำมันเครื่องเยอะเกินไป / เสื้อ – ลูกสูบ – แหวน หลวม / บู๊ธวาล์ว หลวม
·แรงอัด กำลังตก
-วาล์วรั่ว / สปริงวาล์วอ่อน / เสื้อสูบหลวม / ตั้งไฟอ่อน / หน้าทองขาว สกปรกหรือ ไม่เรียบ / หัวเทียนเสื่อม / ไส้กรองตัน / คาร์บู สกปรก
·เครื่องยนต์ ร้อนจัด
-น้ำมันเครื่องสกปรก หรือปั๊มน้ำมันเครื่องเสื่อม
-ตัน
-น้ำมันเครื่องเหลือน้อยเกินไปหรือเติมมาผิดชนิดรถ
-อาจจะตั้งไฟอ่อนหรือแก่เกินไป
-มีเขม่าในฝาสูบมากไป
-มีดินหรือโคลน เขม่าจับที่ตัวเครื่องยนต์ มากไป
·ไฟในตัวรถไม่ติด - สตาร์ทมือ ไม่ติด
-ไฟแบตเตอรี่ น้อยหรือเสื่อม
-ขั้วแบตหลวม
-สายไฟหรือข้อต่อ หลุดหลวมหรือลัดวงจร
-รีเรย์สตาร์ทเสื่อม หรือ ลงกราวน์
-ทองขาวสกปรกหรือ ระยะห่างไม่เข้าที่
-แม่เหล็กสตาร์ทหรือลูกปืนสตาร์ท เสื่อม
-ไดร์สตาร์ทเสื่อมหรือไม่ทำงาน
-ฟิวส์ขาด , คอนเดนเซอร์เสื่อม , คอยส์หัวเทียนเสื่อม
-หัวเทียนระยะห่างไม่ถูกต้อง
หากสงสัย กดเข้าดู...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น